Tuesday, January 11, 2011

สิ่งเดียวที่ผมทำไม่ได้คือ "การยอมแพ้" *~





สิ่งเดียวที่ผมทำไม่ได้คือ "การยอมแพ้" *~
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัว เองตลอดเวลา"
ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอ ยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลก ครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบ ริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพล งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป ็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท ่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"

ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจ นซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีน มอนโร" นั่นเอง

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ด อันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินท ุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิ ทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

ผมเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ ผมเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว

แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก


ที่มา...FWD: MAIL by yahoo.com

หลวงปู่ชา สุภัทโท

เธอจงระวัง ความคิด ของเธอ
เพราะ ความคิด ของเธอ
จะกลายเป็น ความประพฤติ ของเธอ

เธอจงระวัง ความประพฤติ ของเธอ
เพราะ ความประพฤติ ของเธอ
จะกลายเป็น ความเคยชิน ของเธอ

เธอจงระวัง ความเคยชิน ของเธอ
เพราะ ความเคยชิน ของเธอ
จะกลายเป็น อุปนิสัย ของเธอ

เธอจงระวัง อุปนิสัย ของเธอ
เพราะ อุปนิสัย ของเธอ
จะ กำหนดชะตากรรมของเธอ...ชั่วชีวิต


หลวงปู่ชา สุภัทโท

สุดซึ้ง! ความรักของแม่ตาบอด เลี้ยงลูกจนโต



วันที่ 12 สิงหาคม หรือ วันแม่แห่งชาติ เวียนมาบรรจบเมื่อไหร่ ตามรายการต่างๆ ก็มักจะหยิบยกเอาเรื่องราวความผูกพันของแม่กับลูกมานำเสนอ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของ "แม่" ซึ่งหนึ่งในก็คือรายการ "ตีสิบ" ที่ได้พาลูกน้อย 2 คน จาก 2 ครอบครัว มาร้องเพลงขับกล่อมให้แม่ได้อิ่มใจ เพื่อทดแทนค่าน้ำนมที่แม่มอบให้ ในช่วงดันดารา ตอน ร้องเพลงให้แม่ (Song for Mom)

โดยคนแรกคือ น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข




โดยคนแรกคือ น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข
โดยคนแรกคือ น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา
สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข




น้องน้ำฝน หรือ เด็กหญิงน้ำฝน แสงทอง กำเนิดมาจากความรักของพ่อและแม่ผู้พิการทางสายตา พ่อเฉลิม แสงทอง
และ แม่สวัสดิ์ สัจจะมณี ซึ่งพ่อเฉลิมพิการมาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนแม่สวัสดิ์เริ่มพิการตอน 4 ขวบ
จากอาการตาแดง ปวดตาและไปรักษาไม่ทัน ทำให้สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่นั้นมา

ทั้งนี้ หลังจากทั้งคู่อยู่กินกันได้ไม่นาน ก็มีโซ่คล้องใจเป็นน้องน้ำฝน โดยน้องน้ำฝนเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง
และที่มีร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ และพอมีอีกชีวิตหนึ่งเพิ่มขึ้น
ทั้งสองสามีภรรยาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด โดยเฉพาะแม่สวัสดิ์
ที่แม้จะมองไม่เห็นว่าหน้าตาลูกเป็นอย่างไร แต่เธอก็มอบกายและใจ ทุ่มเททุกๆ สิ่งให้กับลูกคนนี้เสมอ
โดยเธอจะทุกอย่างต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าคนปกติ เวลาจะป้อนข้าวป้อนน้ำ
ก็ต้องคลำหาว่าปากของลูกอยู่ตรงไหน แม้ยามลูกป่วยไข้ จะมีก็สองมือแม่เท่านั้นที่จะสัมผัส
และรับรู้ได้แทนการมองเห็น




ทุกๆ วัน รายได้ทางเดียวที่จะนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวจะมาจากการออกไปร้องเพลง ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน บางวันก็ไม่ได้เงินกลับมาเลย แม่ก็ยอมเป็นฝ่ายอดเสียเองเพื่อให้ลูกได้อิ่มท้อง ในวันหยุดเรียนน้องน้ำฝนก็จะไปร้องเพลงกับพ่อแม่ โดยไม่เคยแคร์สายตาใครที่มองว่ามีพ่อแม่เป็นคนพิการ เพราะน้ำฝนรู้ดีว่า ความรักที่แม่มีต่อลูกทำให้แม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนต่อความลำบากในการเลี้ยงดูลูกมากกว่าคนปกติ น้ำฝนจึงเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างได้เพื่อลูก วันนี้ลูกคนนี้จึงอยากกจะบอกรักแม่ ผ่านทางคำพูด และบทเพลงที่เธอตั้งใจจะมอบให้แม่ผู้มีพระคุณของเธอ

"หนู ไม่เคยอายที่มีแม่ที่ตามองไม่เห็น หนูภูมิใจในตัวแม่มาตลอด แม่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงดูหนูตั้งแต่เล็กจนโต หนูจะขอเป็นดวงใจและดวงตาพาแม่ไปตลอดชีวิตของหนู หนูอยากบอกแม่ว่า...หนูรักแม่ค่ะ" นี่คือถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจของลูกน้อยคนนี้

ขณะ ที่ แม่สวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ที่ลูกยังช่วยตัวเองไม่ได้ เวลาจะป้อนข้าวก็ต้องใช้มือสัมผัส ดูว่าปากเขาอยู่ไหน แล้วค่อยเอาช้อนตักข้าวป้อนใส่ปาก เวลาอาบน้ำก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยทำลูกหล่นสักครั้งเดียว โดยจะใช้แขนประคองลูกไว้ให้อยู่ในอ้อมแขน แล้วใช้แขนวัดน้ำว่าอยู่ในระดับไหน คือจะยอมตัวเปียก เพื่อไม่ให้ลูกได้รับอันตราย
ทุกวันนี้ก็ซื้อบ้าน เพื่อให้ลูกได้มีที่อยู่อาศัยหลับนอน และต้องเสียเงินเป็นค่าดอกอีกวันละ 700 บาท แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกก็เท่ากับว่าไม่มีรายได้เข้าบ้านเลย แต่อย่างไรแม่คนนี้ก็จะสู้เพื่อลูกต่อไป



จาก www.sanook.com