Thursday, October 19, 2006

คิดว่ายังไง





คิดว่ายังไง


อยากให้แฟนคิดได้แบบนี้จังเลย!!

แฟนผมไม่ได้ขี้งอน เธอแค่ไม่พอใจที่ผมเบี้ยวนัดเธอ

แฟนผมไม่ได้ขี้บ่น เธอแค่สอนให้ผมเป็นคนมีระเบียบบ้าง

แฟนผมไม่ได้ขี้หึง เธอแค่ไม่อยากเสียผมไปให้คนอื่น

แฟนผมไม่ได้จู้จี้ เธอแค่อยากรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่ เพราะเธอเป็นห่วง

แฟนผมไม่ได้น่ารัก เพราะเธอไม่อยากให้ผมต้องคอยตามเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา

แฟนผมทำกับข้าวไม่อร่อย เพราะเธอเพิ่งจะฝึกทำกับแม่ของเธอเพื่อเตรียมตัวเป็นแม่บ้านที่ดี

แฟนผมไม่สวย แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเจอกันและทำให้ผมรักเธอ

แฟนผมไม่รวย แต่เธอไม่เคยใช้เงินเกินมือและรู้จักเก็บออม

แฟนผมไม่ได้งก เธอแค่สอนให้รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์

แฟนผมไม่ได้งี่เง่า เธอแค่อยากใช้เวลาบางส่วนของผมเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน

แฟนผมเอาใจไม่เก่งเพราะเธอเสแสร้งไม่เป็นและเธอก็ไม่เคยเอาอกเอาใจใครมาก่อน

แฟนผม ฯลฯ

แฟนผมสอนให้ผมรู้จักความอบอุ่นที่ไม่ได้มาจากแม่

แฟนผมสอนให้ผมรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา

แฟนผมสอนให้ผมทำเรื่องดีๆ ที่ไม่ใช่การโดดเรียน




คนเรามีความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ เศร้า ไม่ต่างกัน

ขึ้นอยู่กับว่าเวลาไหนมันจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดเท่านั้น

" คนที่จะหัวเราะได้เสียงดัง ข้างในคงต้องขำบ้างพอสมควร

คนที่น้ำตาจะไหลได้ ข้างในคงมีเรื่องปวดร้าว....

ถ้าไม่นับการร้องไห้ที่มาจากความปิติ "

โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง... แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน

เด็กๆ จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า เด็กไร้สาระ

เพราะเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน

วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่า ทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส

สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้วอาจจะลืมไปว่า

ณ วันที่ผ่านมา" สาระ " ในชีวิตของเค้า คืออะไร

คนที่ตลกหัวเราะสดใส ก็คือ

คนเดียวกับคนที่สามารถร้องไห้ฟูมฟายได้

เพียงแต่คุณจะได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้น อาจจะเคยได้ยินว่า

" คนที่หัวเราะได้ดังที่สุด ก็คือคนที่สามารถร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน"'

ก่อนที่วันนี้ .. คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ

อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา...

" คุณทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า "

ครอบครัวไทย ... มักจะเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นฝ่ายถูกเลือก

คอยสั่งสอนให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเลือกไปเป็นคู่ครอง

แต่ความจริงแล้วผู้ชายและผู้หญิง เราต่างเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า

เพื่อนที่ดีที่สุด คือ

คนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันซักคำ

แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด

ใครหลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับเพื่อน

เพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอกเค๊ายังไง เพราะเราเป็นแค่เพื่อน

แต่ความจริงแล้ว...คุณเป็นตั้งเพื่อนต่างหาก

ผู้ชายที่ร้องไห้ และยอมรับว่าตัวเองร้องไห้ เค้าคือสุภาพบุรุษที่สุด

อย่างน้อยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง... คือความกล้าหาญสุดยอด

เงินไม่ใช่พระเจ้าแต่....ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น

มีสติ สตางค์อยู่...ก็ปลีกเวลาไปใช้เสียบ้าง

อีกหน่อยไม่มีสติแต่มีสตางค์...ก็สายไปเสียแล้ว

เวลาที่เรารักใคร เราจะรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน...

เวลาใครรักเรา เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน...

แต่..ถ้าเราเจอคนที่เรารักเค้าและเค้าก็รักเรา

เราจะผลัดกันตัวเล็ก ตัวใหญ่

วันที่คุณเข้มแข็งและแข็งแรงพอ

อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับคนที่มีปัญหาด้วย

"เอาไหล่ให้เค้าพิง เอามือให้เค้าจับ"

100 คำพูดดี ดี ไม่เท่ากับ 1 สัมผัสที่มีค่าหรอกนะ

คุณรู้ไหมว่า อายุคนเราเฉลี่ย 76 ปีนั่นคือแค่ 3952 อาทิตย์เท่านั้น

คุณหมดเวลาไปกับการนอนถึง 1317 อาทิตย์ ซึ่งเท่ากับว่า....

คุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่ 2635 อาทิตย์เท่านั้นเอง

ลองฉลองวันเกิดกับครอบครัวสักปี

แล้วคุณจะได้รู้ว่า......

เมื่อตอนที่คุณร้องไห้จ้าในวันเกิดวันแรก

คนในครอบครัวคุณมีความสุขกันขนาดไหน....

Wednesday, October 18, 2006

ต้นไม้แห่งรัก

ต้นไม้แห่งรัก
นานมาแล้ว ในป่า มีต้นแอปเปิ้ลอยู่ต้นหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่ชอบวิ่งเล่นรอบ ๆ ต้นแอปเปิ้ล ทุกวัน
แต่เวลาผ่านไป เด็กชายคนนั้นโตขึ้นและไม่ได้มาเล่นที่ต้นแอปเปิ้ลทุกวันเหมือนก่อน.
วันหนึ่งเด็กชายคนนั้นกลับมาพร้อมท่าทางเหงาหงอย
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน
"ฉันไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ฉันไม่อยากเล่นที่ต้นแอปเปิ้ลอีกแล้ว ฉันอยากเล่นของเล่นแต่ไม่มีเงินซื้อ" เด็กชายตอบ
"เสียใจด้วย ฉันก็ไม่มีเงิน แต่มีลูกแอปเปิ้ล เธอเก็บไปขายได้นะ จะได้มีเงิน" ต้นแอปเปิ้ลพูด
แล้วเด็กชายคนนั้นก็เก็บลูกแอปเปิ้ลจนหมดต้น แล้วจากไป ...
วันหนึ่งเด็กชายกลับมา
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน
"ฉันไม่มีเวลาเล่นแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัว ต้องสร้างบ้าน เธอช่วยฉันได้ไหม" เด็กชายตอบ
"เสียใจด้วย ฉันไม่มีบ้านให้เธอ แต่เธอตัดกิ่งของฉันไปทำบ้านของเธอได้นะ" ต้นแอปเปิ้ลตอบ
เด็กชายในอดีตยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับตัดกิ่งต้นแอปเปิ้ลไปจนหมด แล้วจากไป ...

วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กชายคนนั้นกลับมาอีกครั้ง
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน
"ฉันแก่มากจนเล่นไม่ไหวแล้ว ฉันอยากแล่นเรือ เพื่อพักผ่อนในช่วงสุดท้ายของชีวิต มีเรือให้ฉันยืมไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันไปสร้างเรือสิ เธอจะได้มีเรือตามที่ต้องการ"
เด็กชายจึงตัดลำต้นไปสร้างเรือ และแล่นเรือออกไป โดยไม่ได้กลับมาอีกนาน...

สุดท้ายหลายปีผ่านมา เด็กชายก็กลับมา
"ฉันเสียใจด้วย ฉันไม่มีอะไรจะให้เธออีกแล้ว เหลือแต่รากที่กำลังจะตายของฉันเท่านั้นเอง" ต้นแอปเปิ้ลกล่าวด้วยเสียงร้องไห้
"ฉันไม่ต้องการอะไรมากหรอก นอกจากเอนกายพักผ่อน เพราะฉันเองก็เหนื่อยล้ามาหลายปีแล้ว" เด็กชายตอบ
"ดีเลย รากไม้ นี่แหละ คือที่ ๆ ดีที่สุดที่เธอจะเอนกายนอนลงมา จงพักผ่อนเถิด" เด็กชายก็นั่งลง และต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก พร้อมยิ้มทั้งน้ำตา

เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ สำหรับท่านที่อ่านมาถึงนี้แล้ว ลองนึกดูว่าต้นแอปเปิ้ล คืออะไร????
ต้นแอปเปิ้ลคือ พ่อแม่ของเรา ตอนแรกที่เรายังเด็ก อยากเล่นกับพ่อแม่ แต่พอโตขึ้น ก็จากท่านไป จะกลับไปก็ต่อเมื่อ เรามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเราก็ยังอยู่ที่นั่นเสมอ คอยให้กำลังใจ เอาใจใส่ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากมี อยากได้ อยากเป็น ให้อภัยในความผิดถึงแม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข...

ปาฎิหารย์ราคาเท่าไร

เด็กน้อยชื่อเทส ได้ยินคุณพ่อ คุณแม่คุยกันเรื่องน้องชาย ชื่อเจน วัย 8 ขวบ ก็รู้ว่ากำลังป่วยมาก แต่พ่อแม่ ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย และมีทางเดียวที่จะช่วยชีวิตเจนได้ คือต้องผ่าตัด และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และไม่มีใคร ช่วยเหลือครอบครัวนี้เลย
แต่เทสได้ยิน พ่อแม่กระซิบกันว่า "คงมีเพียง ปาฎิหารย์เท่านั้น ที่จะช่วยลูกเราได้ "

เทส จึงตรงไปยังห้องนอนของเธอ และหยิบโหล ที่ซ่อนไว้ในตู้ แล้วก็เทเศษสตางค์ที่ตัวเองมีทั้งหมด ออกมา ค่อย ๆ นับ ถึง 3 ครั้ง ก็ยังคงเป็นจำนวนเงินเท่าเดิม และเธอก็ถือขวดโหลไปด้วย วิ่งออกไปข้างนอก ที่ร้านขายยา
เธอรออยู่นาน ที่ร้านขายยา เภสัชกรไม่สนใจเธอเพราะคุยธุระกับน้องชายที่กลับมาจากอเมริกาอยู่
จนเธอ นำเหรียญในขวดโหล มาเคาะ ที่ตู้กระจกใส่ยา
เภสัชกร รำคาญแล้วถามว่า "เธอต้องการอะไร ?"
"หนูอยากคุยเรื่องน้องชาย เขาป่วยมาก หนูอยากขอซื้อปาฎิหารย์ "
"อะไรนะ ?" เภสัชกรถาม
"น้องหนูชื่อเจนคะ หนูไม่รู้ว่าเขามีอะไรในหัวใจ แต่ได้ยินพ่อกับแม่พูดว่า มีแต่ปาฎิหารย์เท่านั้น ที่ช่วยน้องหนูได้ และปาฎิหารย์นี้ราคาเท่าไรคะ?"
"ที่นี่ไม่มีปาฎิหารย์ ขายหรอก ขอโทษด้วยฉันช่วยหนูไม่ได้" เภสัชกรตอบ
"แต่หนูมีเงินจ่ายนะคะ เพียงบอกหนูเถอะว่า ปาฎิหารย์ราคาเท่าไรคะ?
"
น้องชายของเภสัชกร ก็เดินออกมา แล้วถามแม่หนูว่า หนูต้องการปาฎิหารย์แบบไหนหรือ
"หนูไม่ทราบคะ แต่อยากช่วยน้องที่เขาป่วยคะ"
"แล้วหนูมีเงินเท่าไร" ชายจากอเมริกาถาม
"1 ดอลลาร์ กับ11 เซนต์คะ มันเป็นเงินเก็บทั้งหมด ที่หนูมี และหนูจะหามาอีก ถ้าต้องการใช้มากกว่านั้นคะ"
"อืม ช่างบังเอญิแท้ ๆ 1 ดอลลาร์ กับ11 เซนต์ พอเจาะกับราคาของปาฎิหารย์เสียจริง เอาละพาฉันไปที่บ้านของเธอหน่อย"
ที่แท้ ชายผู้นั้น ก็เป็นหมอผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจ และการผ่าตัดครั้งนี้ ก็สำเร็จไปได้ด้วยดี โดยไม่ต้องใช้เงินเลยสักแดง

เมื่อท่านอ่านถึงตรงนี้แล้ว เรื่องราวบนโลกนี้ที่เราต้องเผชิญนั้น บางครั้งดูโหดร้าย เลยร้ายที่สูดในชีวิต ขอเพียงเราอย่าสิ้นหวัง
เชื่อมั่นว่าสิ่งดี ๆ จะต้องเกิดขึ้นเสมอ กับคนที่ไม่ท้อถอย อย่าหมดหวัง เมื่อมีลมหายใจ มีความเชื่อมั่น มีความมุ่งมั่น ที่จะทำ ปาฎิหารย์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

จังหวะ และโอกาส

ชีวิตของคนเรา มีขึ้นและมีลง บางช่วงก็ตกต่ำ บางช่วงก็รุ่งโรจน์ บางคนเลยสรุปว่า ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับดวง มีดวงกำกับอยู่ ที่จริงแล้วนั้น ขึ้นกับจังหวะชีวิต คือต้องดูให้ดี ๆ ดูจังหวะก้าว จังหวะถอย
สรุปคือ เราทำได้ ที่จริงแล้วชีวิตไม่ได้ขึ้นกับอะไร เพียงส่วนเดียวโดด ๆ ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งภายนอกทั้งหมด และไม่ได้ขึ้นกัยตัวเราเองทั้งหมด แต่มันมีทั้ง สองอย่าง ร่วมกันไป แล้วแต่ว่าอย่างไรมากกว่ากัน

สิ่งสำคัญ เราต้องมีช่องและโอกาส ต้องเสาะหา ช่องทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ ต้องแสวงหา และฉวยโอกาส วิ่งเข้าหาโอกาสเสมอ ไม่ต้องรอให้โอกาสลอยมาหาเรา ของบางอย่างทำด้วยวิธีการอย่างหนึ่ง ได้ผลระดับหนึ่ง แต่ทำด้วยอีกวิธี กลับได้ผลดีกว่า อย่างคาดไม่ถึง ของบางอย่างอยู่กับบางคน เป็นของธรรมดา แต่พอตกไปอยู่กับอีกคนหนึ่งนั้น ได้ผลลัพธ์ดีเลิศ
ลองมาดูเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูว่าเขาทำอะไรกับ จังหวะชีวิต ช่องทาง หรือ โอกาสของเขาบ้าง
มีชาวแคว้นเช่งคนหนึ่ง ได้คิดปรุงยาป้องกันผิวหนังแตก ขนานหนึ่ง มีสรรพคุณดีมาก ใครใช้ทามือทาเท้าในหน้าหนาว ผิวหนังก็จะไม่แตก
มีชายหนุ่มคนหนี่งจากแคว้นอู่ ได้ทราบเรื่อง จึงรีบมาพบคนปรุงยานี้ เพื่อขอซื้อยา และบอกคนปรุงยา ว่า ข้าพเจ้าขอซื้อยาของท่านด้วยเงิน 100 ตำลึง ท่านยินดีขายหรือไม่ ?

คนปรุงยา ตัดสินใจอยู่นาน เห็นว่า ก่อนนี้ขายยาได้ครั้งละไม่กีอัฐ ถ้าตกลงขายได้เขาได้เงินมากกว่าหลายเท่า จึงได้ตกลงขายให้ทันที
เมื่อชายหนุ่มคนนี้ ซื้อยามาได้ ก็นำไปถวายให้พระราชา โดยให้บรรดานักรบ ใข้ยาทาตามมือ และเท้า ในช่วงหน้าหนาว เพื่อไม่ทำให้ผิวแตก และสามารถชนะชัยในการรบได้ ทำให้ชายหนุ่มนั้น ได้รับตำแหน่งเป็นขุนนาง และ ได้รับรางวัลเป็นเงินด้วย..
อ่านมาถึงนี้แล้ว เราท่านจึงต้องขวยขวายสร้างโอกาส และเตรียมพร้อมตลอดเวลา เมื่อจังหวะและโอกาสเข้ามา ก็กระโจนและทุ่มเทให้เต็มกำลัง ความสามารถ ถ้าไม่เตรียมพร้อมพอจังหวะเข้ามา ก็ต้องมานั่งเสียเวลา กว่าจะได้ลงมือทำ ก็จะกลายเป็น “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”


อุปสรรคมีไว้ในข้าม / คิดผิดนิดเดียว

มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาแก่ ไว้ตัวหนึ่ง วันหนึ่ง ชาวนาได้พาลาแก่ออกไปข้างนอก ด้วยความโง่ของลา มันเดินซุ่มซ่าม ทำให้มันเดินตกลงในบ่อร้าง มันร้องครวญครางอยู่เป็นเวลา นาน
ชาวนาไม่รู้ว่าจะช่วยมันอย่างไร ดี และเจ้าลาก็แก่มากเหลือเกิน อีกอย่าง บ่อร้างนี้ ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่ช่วยเจ้าลาตัวนั้น ชาวนา จึงไปขอแรงชาวบ้าน มาช่วยกันกลบบ่อร้าง ทุกคนใข้พลั่ว ตักดิน สาดลงไปในบ่อ ครั้งแรก เมื่อดินตกลงไปให้บ่อ เจ้าลารู้ชะตากรรม ของตัวเอง ทำให้มันร้องโหยหวน ทันที

สักพัก ทุกคนแปลกใจ ลานั้นเงียบไป ทุกคน จึงมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจ ที่ว่า ทุกครั้งที่ตักดิน ลงไปให้บ่อ ลานั้นจะสะบัดดิน ออกจาหลังของมัน และก้าวขึ้นมาเหยียบ บนดินเหล่านั้น และในที่สุด มันก็สามารถหลุดพ้นจากบ่อนั้นได้...

เราท่าน อ่านมาถึงนี้แล้ว ทุกชีวิต ย่อมมีอุปสรรค หากไม่ยอมแพ้ต่ออปุสรรค ที่ถาโถมเข้ามา ก็เปรียบเสมือน ดินที่สาดโถมเข้ามายังลาตัวนั้น ก็จะไม่ถูก อุปสรรคเหล่านั้นถมทับ จงอย่าท้อถอย และอย่ายอมแพ้ และจงแก้ไขมัน แก้ไขสถานการณ์นั้น ๆ ให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้เหยียบมัน เพื่อที่จะได้ก้าวสูงขึ้นเรื่อย ๆ และให้คิดว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทางแก้ไข
ต่อจากเรื่อง “ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทางแก้ไข” แต่ถ้าแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ อาจจะกลับเป็นการเพิ่มปัญหา โดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นเรื่องนี้
ชายคนหนีงเดินทางไปพบชายคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนรถม้า ซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จึงได้ถามไปว่า “ท่านจะเดินทางไปไหน”
ชายบนรถม้า “ข้าจะเดินทางไปที่หัวเมือง ทิศใต้”
ชายที่ถาม “ทางใต้ แล้วใยท่านถึงตรงไปทางเหนือ”
“ไม่เป็นไร ม้าข้าวิ่งเร็วมาก เป็นม้าฝีมือดีที่สุด”
ชายที่ถาม “ยิ่งม้าท่านวิ่งเร็วเท่าไร ทำให้ท่านไกลจากหัวเมื่องใต้มากเท่านั้น”
ชายบนรถม้า ตอบทันที “ไม่เป็นไร คนขับม้า ของข้า มีความชำนาญอย่างมาก”...
ท่านอ่านมาถึงนี้แล้ว ไม่ว่า ม้าหรือคนของท่าน จะเก่งเพียงใด ก็คงไม่มีวันถึงเมืองทางใต้ได้ ด้วยการที่ขับม้าไปในทิศทางตรงกันข้าม อย่างแน่นอน
เปรียบเหมือนกับ อุปสรรค ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็เปรียบเหมือนลมพายุ คลื่นสัด ทีสักวันต้องมีวันสงบ แต่ความคิดที่ผิด จะกลับกลายเป็นอุปสรรค ที่ฝังชีวิตทั้งชีวิต ให้จมอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น จนกว่าจะลาโลกนี้ไป...

ดังนั้น ท่านจงเรียนรู้ กับเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัว จะได้ไม่อาฆาตแค้น ทุกอย่างที่เราประสบ เป็นเหมือนบททดสอบ ความกล้าแข็งของจิตใจ วันนี้ คิดผิด เรียนรู้ แก้ไข เรื่องราว ต่าง ๆ ก็จะเป็นเรื่องถูก ตรงกับเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น แต่ถ้ารู้ว่า ผิด ไม่แก้ไข ดันทุรังทำต่อไป ก็จะได้แค่ ทำ ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา

ชั่วโมงละเท่าไร?

ชายหนุ่มเลิกงาน แล้วกลับเข้าบ้าน ด้วยความอ่อนล้า เจอลูกชายวัย 5 ขวบ อยู่ที่หน้าประตู
“พ่อ ครับ ผมถามอะไรหน่อย พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไร” ลูกชายถาม
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของลูก แต่ถ้าอยากรู้จริง พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ” ชายหนุ่มตอบ
“โอ ” ลูกอุทอน ออกมา พร้อมกับ “พ่อครับ ผมขอยืมเงิน 10 เหรียญ”

พ่อฟังแล้วเกิดอารมณ์ โมโห “นี่เป็นเหตุผลที่แก ถามเพื่อจะขอเงินเหรอ ไปนอน และคิดว่า แกทำถูกหรือไม่ ”
เด็กน้อยเดินกลับไปที่ห้อง แล้วปิดประตู

ชายหนุ่มนั่งลง และยังโกรธกับคำถามของลูก หลังจากเวลาผ่านไป ชั่วโมง อารมณ์เย็นลง จึงเดินไปหาลูกชายที่ห้อง
แล้วพูดว่า
“บางที ลูกอาจมีความจำเป็นต้องใข้เงิน เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญ ที่ลูกขอ”
เด็กน้อย ลุกขึ้น แล้วรีบ ขอบคุณครับพ่อ ว่าแล้วก็หยิบเงิน ใต้หมอนออกมา แล้วนับช้า ๆ

ชายหนุ่มเห็น ก็ยิ่งโกรธ บอกว่า มีเงินแล้ว ยังมาขอเงินอีก
“เพราะ ผมมีเงินไม่พอ จึงต้องขอพ่อครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว 20 เหรียญ ผมจะซื้อเวลาพ่อ 1 ชั่วโมง พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็วหน่อย 1 ชั่วโมง ผมอยากจะทานข้าวเย็นกับพ่อ ครับ ..”...
ในยุคปัจจุบัน สังคมต้องเร่งรีบ และแข่งขันกันตลอดเวลา เราท่านอาจลืมที่จะให้ความรัก ความเอาใจใส่ กับสมาชิก กับคนรอบ ๆ ข้าง ลืมที่จะพูดคุยกัน เพราะมัวแต่ทุ่มเวลา กับการหาเงิน แล้วตัวคุณละ ต้องให้สมาชิกในครอบครัว ซื้อเวลาจากคุณหรือไม่? ถึงจะหันมาเข้าใจ และใส่ใจกัน